ถ้าคุณต้องการรู้จักนิสัยของตลาดให้มากที่สุด ให้เดินไปที่ชายหาด ก้าวลงไปในน้ำทะล

Image
ถ้าคุณต้องการรู้จักนิสัยของตลาดให้มากที่สุด ให้เดินไปที่ชายหาด ก้าวลงไปในน้ำทะล แล้วลองผลักน้ำจากฝั่ง ทำคลื่นดันกลับเข้าไปหาทะเล สร้างคลื่น สู้กับทะเล ลองทำดู ทั้งคลื่นลูกเล็ก และคลื่นลูกใหญ่ คุณจะพบว่า ไม่ว่าคุณจะสร้างคลื่นดันกลับไปในรูปแบบไหน คุณจะไม่มีทางชนะคลื่นจากทะเลได้เลย  ไม่มีทาง ความจริงที่คุณได้จากเรื่องนี้คือ "ตลาดจะถูกเสมอ" . Market Wizards ยอมรับตรงกันว่า "ตลาดจะทำในสิ่งที่มันอยากจะทำ" พวกเขาไม่เคยหัวเสียกับตลาด(เพราะเคยทำมาแล้วในตอนเป็นมือใหม่) พวกเขาไม่เคยโทษตลาด(เพราะเคยทำมาแล้วในตอนเป็นมือใหม่) . พวกเขาแค่ยอมรับว่าตลาดจะทำในสิ่งที่มันจะทำ พวกเขาแค่ยอมรับว่าเขาไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ จากนั้นสิ่งที่พวกเขาทำก็คือ ๑) อ่านตลาด ๒) แยกแยะความเสี่ยงกับโอกาสให้ได้ ๓) หาโอกาสทำเงินเมื่อตลาดให้โอกาส และอยู่เฉย ๆ ถือเงินสดเมื่อตลาดเป็นความเสี่ยง ๔) คิดก่อนเสมอว่า "ถ้าตลาดไม่ให้เงิน(เทรดขาดทุน) ฉันจะยอมเสียกี่บาท" การเอาตัวรอด คือเป้าหมายแรกของยอดนักเทรด เพราะคิดแบบนี้...ไม่ว่าตลาดจะร้ายแค่ไหน ยอดนักเทรดก็จะรอดเสมอ #จิตวิทยาการเทรด #ปั้นพอร์ต #วินัยนัก

กลยุทธ์การเทรดหุ้น ของ Dan Zanger

กลยุทธ์การเทรดหุ้น ของ Dan Zanger

ปล. ไอเดียบางส่วนจากบทความนี้ อยู่ในหนังสือ "หุ้นขาขึ้นรอบใหญ่" ครับ
---------

จากที่ผมเคยแปลวิธีเลือกหุ้นของพี่ Dan Zanger เอาไว้เมื่อไม่นานมานี้โพสต์ลงหน้าเฟสของตัวเอง
ในหัวข้อ วิธีการคัดหุ้นขาขึ้น (Mark up Phase) ของ Dan Zanger
ก็รู้สึกชอบแนวทางของพี่เค้าเลยครับ

ประทับใจตรงที่มีแนวทางการเทรดที่มองไปในทิศเดียวกัน คือเล่นหุ้นกินคำใหญ่ ไม่อยากรอนาน ซื้อแล้ววิ่งทันทียิ่งดี

แต่ด้วยความที่มุมมองเรายังด้อยนัก กระนั้นเพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่(คือเล่นหุ้นกินคำใหญ่ ไม่อยากรอนาน ซื้อแล้ววิ่งทันทียิ่งดี)
จึงผลักให้ต้องหาข้อมูลเพิ่มว่า เขาเล่นยังไง
มีวิธีไหนที่จะทำเงินได้ไวๆแบบพี่เค้าบ้าง

เท่าที่ได้รู้จากโพสต์ตัวเองคือ เขาจะเข้าเล่นหุ้นตอนที่มันทำเวฟ 3 หรือ Mark Up Phase เท่านั้น และยังใช้แนวคิดของ Wyckoff Logic มาประยุกต์อีกต่างหาก ตอนนั้นผมก็หวานเลย เราก็พอรู้เรื่องของ Wyckoff อยู่บ้าง ก็คิดว่าไม่ยาก

แต่ก็ไปติดอยู่ที่จุดเข้าซื้อที่ใช่ ให้ได้แบบพี่แดน ทำได้นั้น มันยังไม่เคลียร์

ล่าสุดไปเจอ โพสต์จาก เพจหุ้นการบ้าน ก็เห็นอีกด้านของเขาเพิ่มขึ้นอีก
คือพี่เค้าเป็นคนขยันมาก โคตรขยันเลย
ทุกๆวันเขาจะ สแกนหุ้นพันกว่าตัว เพื่อหาของดี โดยจะคัดจนเหลือ 50 กว่าๆ 
เป็นตัวที่เขามองว่ามันมีโอกาสเป็น Big Winner ตัวต่อไป

โ-ค-ตะ-ระ ขยันเลยพ่อคุณเอ๊ย

ก็อย่างว่านะ ขยันแล้วมันได้ตังค์ เป็นผมก็สู้ใจขาดเหมือนกัน



ส่วนตะแกรงร่อนหุ้นของเขา จะใช้ความรู้ของ William O'niel กับ Wyckoff Method ที่ผมเคยแปลเอาไว้
ก็ขอตัดบางส่วนออก เอาเฉพาะหัวข้อที่คิดว่าเกี่ยวข้องดังนี้

พื้นฐาน
1. คัดหุ้นที่น่าสนใจไว้สัก 60 ตัว เอาที่มีรายได้และกำไรโตมากๆ
2. หาหุ้นนำตลาดที่โดดเด่นมาจากกำไรที่โตจากไตรมาสต่อไตรมาสมาอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจาก สินค้าหรือการบริการใหม่ การบริหารจัดการใหม่ เป็นต้น
3. โฟกัสไปที่หุ้นนำตลาดที่มาพร้อมกับกำไรโตมหาศาล เมื่อตัวนำออกวิ่งก็ได้เวลาเล่นแล้ว
4. เน้นหุ้นนำตลาด ซึ่งโดดเด่นในอุตสาหกรรมนั้น และเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ตลาดเขาเล่นกัน
และที่สำคัญคือหุ้นตัวนั้นต้องได้รับความสนใจและซื้อเพิ่มจากสถาบัน
5. สัญญาณบอกว่าว่าสถาบันซื้อหุ้นตัวใด ให้ดูวอลุ่ม
โดยวอลุ่มจะเป็นตัวบ่งบอกว่าสถาบันต้องการหุ้นนั้นมากแค่ไหน
6. แต่ต้องดูจำนวนสถาบันที่ถือหุ้นด้วย ถ้าถือมากมายจนล้น ก็ให้อยู่ห่างๆ
7. หุ้นราคาแพง ($50 และมากกว่า) จะทำเงินได้ดีกว่า หุ้นราคาถูก ($30 หรือน้อยกว่า)
8. เช็ควงจรของตลาด และฤดูกาลของมันด้วย ว่าเหมาะต่อการเล่นหรือเปล่า



เทคนิคอล
9. หุ้นนำตลาดจะดูได้จากค่า RS (Relative Strength)
บ้านเราไปเช็คจากเพจ SEHJU Research Center

คัดเอาตัวที่มากกว่า 80

ตรงนี้มีประเด็นหน่อยนะ
เพราะ พีวิลเลียม โอนีล ผู้เป็นเจ้าของแนวคิดนี้ ก็ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า
กุญแจสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ว่า Relative Strength จะสูงแค่ไหน
(แต่เยอะน่ะดีแน่ๆ คัดเอาตั้งแต่ 80 ขึ้นไปนะ)
แต่มันอยู่ที่ว่า
หุ้นได้ขึ้นมาจากฐานราคาล่าสุดของมันมากน้อยเพียงใดแล้ว มากกว่า
หุ้นบางตัวมีค่า RS สูงมากกว่า 90 ด้วยซ้ำ แต่ว่าราคาของมันยังอยู่แค่ในช่วงต้นของการขึ้นของราคา ออกมาจากช่วงของการสร้างฐานราคา ก็มี

โดยทั่วไปแล้ว เขาจะไม่ซื้อหุ้นที่มีค่า Relative Strength ที่สูง 
ถ้าหากมันขึ้นไปมากกว่า 10% จากฐานราคาเดิมของมันแล้ว
(ประเด็นนี้เดี๋ยวผมจะแชร์ในอีกโพสต์นะ)



10. สิ่งที่เขาให้ความสำคัญกว่าอื่นใดก็คือ price action, volume, chart pattern และ กำไรที่ดงาม ('spectacular earnings')
11. หุ้นที่มี pattern สวย มักจะมีพื้นฐานที่ดูดีด้วย หากหุ้นตัวใดกราฟสวยแต่ถ้าพื้นฐานไม่สวยก็อย่าเทรด
12. หุ้นที่วิ่งแรงๆจะสร้างฐานราคา 4-5 เดือน ก่อนที่จะ breakout วิ่งไปแรงๆ
13. รอดูการเพิ่มขึ้นของวอลุ่มแบบทะลักทลาย (50%, 100% หรือมากกว่านั้น) ในตอนที่มัน breakout จากฐานราคา ที่มาพร้อมกับกำไรที่เพิ่มขึ้นแบบทะลักล้น
14. Pattern ที่จะวิ่งต่อ(Continuous Pattern)ที่เขาชอบก็คือ flag และ channels









กลับไปที่โพสต์ของเพจหุ้นการบ้านต่อ
เราก็จะได้บอกรายละเอียด วิธีเทรด เพิ่มเติมที่น่าสนใจมากเลย คือ

"จริงๆคุณควรที่จะหาว่าหุ้นตัวไหนน่าจะเคลื่อนไหว 
แล้วค่อยมองว่ามันทำรูปแบบราคาอย่างไร"

เพราะเขาพบว่า หุ้นบางตัวทำ price pattern สมบูรณ์แบบแล้ว แต่ไม่วิ่งต่อ
วิธีการของเขาคือ ไม่มองรูปแบบ แต่ให้ดูแท่งเทียนว่ามันเคลื่อนไหวยังไง
เพื่อหาตัวที่มัน "เพิ่งออกรถ"

เขาเน้นดูแท่งเทียน + วอลุ่มก่อน

เพราะสัญญาณที่จะบอกว่าหุ้นตัวไหนที่กำลังจะออกรถนั้น ดูวอลุ่มจะสูงอย่าผิดปกติ
พี่แดนจะตามกระแสเงินก้อนใหญ่ เมื่อสถาบันซื้อหุ้นในปริมาณที่มาก เขาก็จะซื้อหุ้นตัวนั้นเหมือนกัน
เมื่อสังเกตเห็นหุ้นเคลื่อนที่ด้วยปริมาณวอลุ่มที่มาก ซื้อตามเลย วอลุ่มนั้นมีความสำคัญมากถึงมากที่สุด



เขาย้ำว่า วอลุ่มคือข้อเท็จจริงของทุกอย่าง

"เมื่อหุ้นเริ่มวิ่งครั้งใหญ่จริงๆ ด้วยวอลุ่มที่มาก คุณจำเป็นต้องซื้อมันให้หนัก"

มาถึงช่วงนี้ ผมขอเสริมนิดนึง จากประสบการณ์ของผมเอง
เมื่อก่อน ผมคิดแค่ชั้นเดียวไง คือเห็นวอลุ่มมาก็กระโจนเข้าตามเลย
ปรากฎว่า "จั่วลม" ครับ คือโดนล่อไปซื้อที่ปลายดอย

เอาใหม่นะ ผมอยากเพิ่มอีกสเต็บนึงเอาไว้กันเหนียว
มันคือ "การยืนยันขาขึ้น" หรือจะเรียกว่า Confirm ก็ได้

มาดูตัวอย่างกันแบบชัดๆ กับหุ้น VPO

ผมจะชี้ให้เห็นแบบชัดๆเลยว่า หุ้นที่วอลุ่มเข้า ไม่ได้ไปต่อเสมอไป
คุณต้องรอดูการยืนยัน การเป็นขาขึ้นเสียก่อน

ดูรูปที่ผมวงรีเอาไว้ ครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 นะ
ครั้งที่ 1 มีการทำแท่งเขียยาว วอลุ่มสูงสุดในรอบ 200 วัน แต่ทว่า มันไม่ยอมไปต่อ ราคาเลี้ยงตัวอยู่ข้างบน ย่ำไปย่ำมา ไม่ยอมทำนิวไฮ สุดท้ายก็โดน กดขายจนร่วงหนักและลงต่อ

พอมาครั้งที่ 2 ราคาก็ดีดแรงเหมือนเคย วอลุ่มก็สูงกว่าเดิมอีก แต่ครั้งนั้พอย่อแล้ว มีเด้งที่แข็งแรงกว่า เพราะทำนิวไฮได้ ถือว่าเป็นการยืนยันว่ามีโอกาสทำขาขึ้นได้สูงมาก

และถ้าจะให้ยืนยันชัด ราคาก็ต้องขึ้นไปทำนิวไฮได้ต่อเนื่อง

แถมให้อีกตัว

ดังนั้น เห็นวอลุ่มเข้า ไม่ต้องรีบก็ได้ รอดูพฤติกรรมมันก่อน ว่าคนทำราคาเขาจะเอาจริงหรือแค่หลอก



กลับมาที่มุมคิดของพี่ Dan Zanger ต่อนะ อ่านเนื้อในกรอบล่างนี้นะ



จะเห็นเลยว่า เขาชอบ Chart Pattern และวอลุ่ม
โดยลักษณะวอลุ่มสูงต้องมากับราคาสูง และคำว่า Explosive น่าจะหมายความว่ามันเคลื่อนไหวที่รุนแรง
แต่รุนแรงยังไง แบบไหนถึงจะใช่ ดูรูปครับ

เขาไม่ได้เจอแท่งเขียวยาวพร้อมวอลุ่มสูงปรี๊ดแล้วกระโจนเข้าไปเลยนะ บอกกันไว้ก่อน
พี่แดนจะเลือกซื้อเฉพาะหุ้นที่ราคาขึ้นไปไม่ห่างจากจุด breakout มากมาย
โดยให้ไม่เกิน 5% เท่านั้น

เพราะอะไรน่ะรึ?
นึกถึงจุดหนีตายด้วยสิ.....หากมันเบรคหลอก
ถ้าเกิดวันต่อไปหลังจากที่คุณซื้อมันร่วงลงหนัก จนราคาหลุดลงไปยืนใต้จุด breakout ก็แสดงว่า มันแสดงออกถึงความอ่อนแอ ซึ่งหมายความว่าคุณอาจจะโดนหลอกให้ซื้อที่ยอดดอยก็ได้
พี่เขาบอกว่าถ้าเจอแบบนั้น ให้หนีก่อน

มาดูตัวอย่างจากคลิปของเขาบ้าง
คลิปนี้ จุดเข้าซื้อแรกคือตอนที่มัน Breakout จาก Base ที่ทำทรง Corkscew Pattern(เหมือน VCP มั้ย)









แต่ถ้าหากไม่ทันการเบรคครั้งแรกล่ะ?
Mr. Zanger จะรอครับ รอดูต่อว่ามันทำ pattern ยังไง โดยกล่าวว่า
"ผมชอบแพทเทิร์นธง Bull Flag Pattern แต่บางครั้งคุณอาจจะเห็น Cup and Handle สวยๆ ซึ่งเป็นแพทเทิร์นที่ดีที่มากเวลาที่หุ้นกำลังจะทะลุกรอบราคาตรงที่เป็นส่วนของหูถ้วย และหุ้นมักจะพยาม Break ตอนที่ประกาศผลประกอบการ"





ดูวิดีโอประกอบอีกนิด แนะให้ซื้อในจุดที่เหมือนจะเสี่ยงที่สุด(คือราคาอยู่บนยอด) แต่ได้กำไรมหาศาล
เพราะอะไรครับ? ก็เขาเห็นแล้วว่าหุ้นตัวนี้ มันออกวิ่งเป็นขาขึ้นแล้ว
จากนั้นก็รอดู รูปแบบราคา เพือหาจังหวะ
แล้วเขาเห็น U Pattern และ Cap & Handle อันเป็นจังหวะซื้อที่ดีมากๆ
จากนั้นราคาก็วิ่งต่อแรงมาก ทำ parabolic หลายสเต็ปเลย
กระทั่งมีวันหนึ่งที่ราคาเปิด gap ลง และก็ทะลุ trend ด้วย จึงตัดสินใจขายออก




ใครอยากศึกษาวิธีคิด ในการดูกราฟ คัดหุ้นของเขาก็ตามไปดูที่เว็บเขาได้ครับ
ผมคัดรูปมาให้หมดแล้ว ให้ดูจนตาแฉะไปเลย

คลิกที่รูปเลย



แถม......
ยังมีอีกประโยคที่ผมชอบมาก เพราะตรงใจ สุดๆ เขาบอกว่า
"95% ของการเทรดทั้งหมดของผมเป็นด้าน long 99% ของกำไรที่ผมทำได้มาจากการ long 
อีก 1% เท่านั้นที่มาจากการ short สนุกๆ"
นี่คือการสรุปสไตล์การเทรดของเขาเลยครับ



กฏการเทรดของ Dan Zanger

ล่าสุดผมไปเจอกฎการเทรด ของพี่ Dan Zanger อีก เห็นว่าน่าสนใจเลยขอคัดมาให้อ่านกัน
เผื่อจะได้เข้าใจวิธีคิดเขามากขึ้น

1. Make sure the stock has a well formed base or pattern such as one described on this web site and can be found on the tab "Understanding Chart Patterns" on the home page, before considering purchase. Dan highlights stocks with these patterns in his newsletter.
ดูให้แน่ว่าหุ้นได้สร้างฐาน หรือ pattern ที่สมบูรณ์ ก่อนเข้าเทรด
(คือถ้ามันสมบูรณ์จริง มันต้องไปต่อ ไม่ย้อนกลับมาเล่นในฐานอีก)


2. Buy the stock as it moves over the trend line of that base or pattern and make sure that volume is above recent trend shortly after this "breakout" occurs. Never pay up by more than 5% above the trend line. You should also get to know your stock's thirty day moving average volume, which you can find on most stock quote pages such as eSignal's quote page.
ซื้อ เมื่อเห็นว่าราคาได้ข้าม trend line ของฐานราคา หรือ pattern และต้องมีวอลุ่มเพิ่มสูงขึ้นกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 30 วัน






3. Be very quick to sell your stock should it return back under the trend line or breakout point. Usually stops should be set about $1 below the breakout point. The more expensive the stock, the more leeway you can give it, but never have more than a $2 stop loss. Some people employ a 5% stop loss rule. This may mean selling a stock that just tried to breakout and fails in 20 minutes or 3 hours from the time it just broke out above your purchase price.
ขายเมื่อราคาหุ้นหลุดลงไปอยู่ใต้เส้น trend line หรือจุดที่มัน breakout โดยตั้งให้จุดคัทอยู่ต่ำกว่าจุดนั้นเล็กน้อย(กันโดนเขย่า)
นอกจากนี้ ให้ขายหุ้นที่มันพยายาม breakout แต่ไม่ผ่านภายใน 20 นาที
ขายหุ้นที่เบรคไปแล้วแต่ยืนไม่อยู่นานเกินกว่า 3 ชั่วโมงหลัง


4. Sell 20 to 30% of your position as the stock moves up 15 to 20% from its breakout point.
ขายหุ้นออก 20 - 30% หลังจากที่หุ้นวิ่งไปได้ 15 - 20% จากจุดที่มัน breakout


5. Hold your strongest stocks the longest and sell stocks that stop moving up or are acting sluggish quickly. Remember stocks are only good when they are moving up.
ทนรวยกับหุ้นขาขึ้น ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขายหุ้นอ่อนแอ หรือตัวที่หยุดเคลื่อนที่ ออกให้ไว
จำไว้เลยว่า หุ้นดี คือหุ้นที่วิ่งขึ้น (นอกจากนั้น เลวหมด)

6. Identify and follow strong groups of stocks and try to keep your selections in the these groups
พยายามหาและติดตามกลุ่มหุ้นที่แข็งแกร่ง

7. After the market has moved for a substantial period of time, your stocks will become vulnerable to a sell off, which can happen so fast and hard you won't believe it. Learn to set new higher trend lines and learn reversal patterns to help your exit of stocks. Some of you may benefit from reading a book on Candlesticks or reading Encyclopedia of Chart Patterns, by Bulkowski.
ยามที่ตลาดอ่อนแรง และกลับตัว หุ้นของเรามักจะร่วงหนัก แรง และเร็วเกินกว่าที่เราจะรับได้ ให้ไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ new higher trend lines และ reversal patterns เพราะมันจะช่วยให้คุณได้จุดออกที่ไวกว่า และปลอดภัยกว่า


8. Remember it takes volume to move stocks, so start getting to know your stock's volume behavior and the how it reacts to spikes in volume. You can see these spikes on any chart. Volume is the key to your stock's movement and success or failure.
จำไว้ว่า วอลุ่มคือกุญแจสำคัญสำหรับการเคลื่อที่ของหุ้น ศึกษานิสัยวอลุ่มของหุ้นที่คุณถือ ดูว่ามันมีปฏิกริยาอย่างไรในตอนที่วอลุ่มปะทุขึ้นสูงๆ

9. Many stocks are mentioned in the newsletter with buy points. However just because it's mentioned with a buy point does not mean it's an outright buy when a buy point is touched. One must first see the action in the stock and combine it with its volume for the day at the time that buy point is hit and take keen notice of the overall market environment before considering purchases.
หุ้นบางตัว(ตอนที่คุณทำการบ้านไว้)ดูเหมือนจะพร้อมเบรค แต่ก็อย่าเพิ่งเข้าทันทีเมื่อตลาดเปิด ให้รอดูพฤติกรรมราคามันก่อนว่าจะไปต่อมั้ย เพราะบางทีวอลุ่มและตลาดก็ไม่อำนวย



10. Never go on margin until you have mastered the market, charts and your emotions. Margin can wipe you out.
อย่าใช้มาร์จิ้น ถ้าคุณยังไม่เก๋าเกมส์พอ หากดูกราฟก็ยังไม่คล่อง คุมอารมณ์ตัวเองก็ยังไม่ได้ อย่าใช้มาร์จิ้นเลยครับ โอกาสหมดตัวมีสูงมาก
(บอกกันแบบนี้คนไม่โดนเองก็ไม่เชื่อหรอกครับ ใครๆก็มั่นใจในตัวเอง ถ้าเชื่ออะไรก็ทำไปเลย เดี๋ยวตลาดจะเฉลยผลสอบของคุณให้เอง การขาดทุนนั่นแหละครับคือสิ่งที่ตลาดบอกว่าคุณบกพร่องตรงไหนบ้าง ถ้าคุณมีการบันทึก หรือรีวิวการเทรด ก็จะรู้ว่าตัวเองพลาดจุดไหน
แต่ถ้าชีวิตคุณไม่มีการบันทึกหรือตรวจสอบตัวเอง ก็บ๊ายบายกันได้เลยครับ คุณจบไม่สวยแน่)

ปิดท้ายด้วยคำคมครับ
ความสำเร็จเกิดได้จากการลงมือทำเท่านั้น


บทความที่ทีเนื้อหาเกี่ยวกับพี่ Dan Zanger

(แนะนำเพิ่มเติม ความรู้การเทรดหุ้นของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
เรียนเล่นหุ้น เรียนเทรด forex จิตวิทยาการเทรด มือใหม่เล่นหุ้น
คลิกลิ้งนี้ครับ https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บ zyo71.com นี้แหละครับ


ส่วนนี่เป็น ช่องยูทูป ของผมเอง ดูฟรีเช่นกันครับ
เข้าไปชม คลิกที่ลิ้งนี้ www.youtube.com/channel/UCTDoP5zRI4hRETT_2SSlPag/videos


และนี่เป็นหนังสือเล่มของผมเองครับ



www.facebook.com/zyobooks


และ eBook มีขายที่เว็บ https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=เซียว%20จับอิดนึ้ง&exact_keyword=1&page_no=1
แยกส่วนกันนะครับ ขายคนละเจ้า
ebook หนังสือสอนเล่นหุ้น

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่

ดูยังไงว่าเป็น Cup with Handle pattern?

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ