ถ้าคุณต้องการรู้จักนิสัยของตลาดให้มากที่สุด ให้เดินไปที่ชายหาด ก้าวลงไปในน้ำทะล

Image
ถ้าคุณต้องการรู้จักนิสัยของตลาดให้มากที่สุด ให้เดินไปที่ชายหาด ก้าวลงไปในน้ำทะล แล้วลองผลักน้ำจากฝั่ง ทำคลื่นดันกลับเข้าไปหาทะเล สร้างคลื่น สู้กับทะเล ลองทำดู ทั้งคลื่นลูกเล็ก และคลื่นลูกใหญ่ คุณจะพบว่า ไม่ว่าคุณจะสร้างคลื่นดันกลับไปในรูปแบบไหน คุณจะไม่มีทางชนะคลื่นจากทะเลได้เลย  ไม่มีทาง ความจริงที่คุณได้จากเรื่องนี้คือ "ตลาดจะถูกเสมอ" . Market Wizards ยอมรับตรงกันว่า "ตลาดจะทำในสิ่งที่มันอยากจะทำ" พวกเขาไม่เคยหัวเสียกับตลาด(เพราะเคยทำมาแล้วในตอนเป็นมือใหม่) พวกเขาไม่เคยโทษตลาด(เพราะเคยทำมาแล้วในตอนเป็นมือใหม่) . พวกเขาแค่ยอมรับว่าตลาดจะทำในสิ่งที่มันจะทำ พวกเขาแค่ยอมรับว่าเขาไม่สามารถเอาชนะตลาดได้ จากนั้นสิ่งที่พวกเขาทำก็คือ ๑) อ่านตลาด ๒) แยกแยะความเสี่ยงกับโอกาสให้ได้ ๓) หาโอกาสทำเงินเมื่อตลาดให้โอกาส และอยู่เฉย ๆ ถือเงินสดเมื่อตลาดเป็นความเสี่ยง ๔) คิดก่อนเสมอว่า "ถ้าตลาดไม่ให้เงิน(เทรดขาดทุน) ฉันจะยอมเสียกี่บาท" การเอาตัวรอด คือเป้าหมายแรกของยอดนักเทรด เพราะคิดแบบนี้...ไม่ว่าตลาดจะร้ายแค่ไหน ยอดนักเทรดก็จะรอดเสมอ #จิตวิทยาการเทรด #ปั้นพอร์ต #วินัยนัก

กว่าจะเป็น Mark Minervini (ภาคมนุษย์)



พี่ มาร์ค มิเนอร์วินี เป็นไอดอลอีกคนที่ผมเอ่ยถึงบ่อยมาก ด้วยความที่ผมชื่นชอบเนื้อหาที่แกนำเสนอในหนังสือ "เทรดแบบเซียนหุ้น ให้ได้กำไรขั้นเทพ" ซึ่งอ่านเข้าใจง่าย และเอาไปต่อยอดได้ไม่ยาก นอกจากนี้ ในส่วนของ mindset ของแก ก็ดุดันและสร้างความฮึกเหิมได้ดีเช่นกัน

คือแกได้ทั้งบู๊และบุ๋น นำเสนอเทคนิคอลก็ดี ยิ่งเขียนสร้างแรงบันดาลใจก็เยี่ยมยอดไม่แพ้กัน

ก่อนหน้านี้ ผมมักจะไปวนๆเวียนๆแกะ method ของแก ในช่วงกลางเล่มซะป็นส่วนใหญ่ จนลืมไปว่าหน้าแรกๆก็สำคัญไม่แพ้ พอได้ลองเปิดอ่านดูก็เลยได้ไอเดียมาเขียน "ที่มา" ของแก กว่าจะมาถึงจุดสุดยอด เป็นไอดอล เป็น wizard เป็นแรงบันดาลใจให้เทรดเดอร์รุ่นน้องทั้งโลกนั้น แกทำอะไรมาบ้าง

ขอแบ่งให้ท่านอ่าน 2 ภาค จะได้เห็นจุดเปลี่ยน ซึ่งคาดหวังว่ามันอาจจะเป็นไกด์ให้หลายท่านที่ต้องการมองหาอะไรสักอย่างที่จะผลักดันให้ตัวเองก้าวข้ามของเทรดเดอร์ 90% นี้ขึ้นไปได้


(1) ภาคมนุษย์
ในโลกของการเทรดนั้น ภาคมนุษย์ก็คือ ความเป็นเทรดเดอร์ทั่วไปครับ ซึ่งมีอยยู่ในตลาดถึง 90% เป็นอย่างน้อย พวกเขามีผลประกอบการในทางการเทรดที่ย่ำอยู่กับที่ ได้กำไรมา เดี๋ยวก็คืนตลาดไป บ่อยครั้งที่จ่ายดอกให้ตลาด ทำให้เงินต้นนับวันละลายหายไป รอวันที่จะออกจากตลาด
.
พี่มาร์คก็เคยเป็นหนึ่งใน 90% นี้เหมือนกันครับ แกก็ไม่ได้เกิดมาเก่ง ซื้อหุ้นตัวแรกก็รวยสิบเด้งเหมือนที่เม่าบางคนฝันกลางวัน
.
๑) เรียนไม่จบมัธยม นี่เป็นข้อมูลที่เซอร์ไพรส์มาก พี่มาร์คไม่จบมัธยมนะครับ แกออกจากโรงเรียนตอนมัธยมต้น อายุ 15 เท่านั้น และไม่มีทรัพย์สมบัติเหมือนคนอื่น
.
แกเลยต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองมาโดยตลอด ต้องดิ้นรนหางานทำเพื่อเลี้ยงตัว
แต่ด้วยข้อดีของแกที่มีเหนือกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันคือ
- ชอบอ่านหนังสือ กระหายในความรู้
- มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะประสบความสำเร็จ
.
สองข้อนี้แหละครับ ที่เป็นรากฐานที่นำทางให้แกมาถึงวันนี้ได้ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ คือถ้าคุณอยากเป็นผู้ชนะ แต่ขี้เกียจอ่านหนังสือ ก็เท่านั้น
.
เช่นกันถ้าเป็นหนอนหนังสือแต่ขาดความทะเยอทะยาน คุณก็เป็นเนิร์ดที่จมปลักกับโลกจินตนาการ
.
เมื่อหนุ่มมาร์ค มีความฝัน อยากจะมีชีวิตอนาคตที่ดี เขาจึงกลายเป็นคนที่กระหายในความรู้มาก ถ้าอยากรู้เรื่องใด ก็จะต้องอ่าน อ่าน และอ่าน สถานที่ประจำของเขาคือห้องสมุดท้องถิ่น ห้องสมุดมหาวิทยาลัยโดยพกเหรียญเต็มกระเป๋าเพื่อถ่ายเอกสาร ที่ร้านหนังสือถ้าเห็นว่าแพงแกก็จะยืนอ่านแล้วจดโน้ตบนกระดาษแผ่นเล็กๆเอาไว้
.
อะไรที่ผลักดันให้แกต้องมุ่งมั่นอ่านหนังสือขนาดนั้น?
.
.
๒) แกอยากเป็นนักเทรดหุ้นที่เก่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทำไมต้องเป็นเทรดเดอร์ ทั้งๆที่มีอาชีพมากมาย?
เพราะมองว่าตลาดหุ้นคือโอกาส ตลาดหุ้นเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับรางวัลทางการเงิน อีกทั้งแกชอบความคิดของอิสภาพทางการทำงานที่บ้านและเป็นนายตัวเอง
.
ความจริงแล้ว แกก็เคยทำธุรกิจอื่นอยู่นะ แต่ไปต่อไม่ได้ คือมีไฟอยู่ แต่ขาดความหลงไหล พูดง่ายๆว่าไปไม่สุด ทำได้แค่ครึ่งๆกลางๆก็ทิ้ง เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่อยากจะตื่นขึ้นไปทำงาน เบื่อ ฯลฯ
.
เพราะเขาอยากจะมีอิสรภาพในการทำอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหนก็ได้ ตามที่ต้องการ
.
ซึ่งปมก็คือ แกน่าจะแค้นที่ไม่ค่อยมีใครรับเด็กไม่จบมัธยมเข้าทำงานด้วยแหละ คงโดนดูถูกต่างๆนาๆ ตอนไปขอสมัครงาน โดนบ่อยเข้าก็เลยต้องคิดหาทางเพื่อเอาตัวรอด แบบที่ไม่ต้องไปง้อใคร หาอาชีพที่ไม่แบ่งวุฒิการศึกษา ตลาดหุ้นจึงเป็นโอกาสที่เปิดกว้างและไม่ลำเอียง
.
พอดีช่วงนั้น เขาเห็นคนเริ่มรวยหุ้นอย่างมากมาย จึงคิดว่า ถ้าได้เรียนรู้วิธีเทรดหุ้นให้ประสบความสำเร็จ ความฝัน (คือมีอิสรภาพ) ก็น่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้
.
จึงเอาเงินที่หามาได้(แกน่าจะไปทำงาน part time เก็บตังค์)  ไปเล่นหุ้น เล่นรอบ เพื่อหาเงินเลี้ยงตัว
.
จึงไม่แปลกที่แกไล่อ่านเกลี้ยง ตั้งแต่ข่าวการเงิน และรายงานหุ้น อ่านหนังสือมาแล้วกว่าพันเล่ม
.
.
๓) เริ่มเทรด ก็โดยรับน้องทันที
ปี1980 เชื่อโบรคเกอร์ให้ถัวเฉลี่ยหุ้นขาลง ขาดทุนยับเยิน สูญเงินหมด
จึงมีการเปลี่ยนโบรคเกอร์ใหม่ ที่มีวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน
คราวนี้เลือกเล่นเฉพาะหุ้นขาขึ้น หากราคาลงต่ำกว่าราคาซื้อมาก ก็ตัดขาดทุน แต่ปัญหาคือ อายโบรคเกอร์ ไม่กล้าสั่งให้ตัดขาดทุน ยิ่งราคาลงลึกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่กล้าโทร
.
สรุปก็คือ เปลี่ยนโบรค แต่ไม่กล้าตัดขาดทุน ในที่สุดก็เสียหายตามเคย
.
พยายามซื้อให้ได้ที่จุดต่ำสุด
ในช่วงนั้นแกยังไม่มีแนวทางของตัวเอง ก็เลยพยายามซื้อหุ้นราคาถูกที่ดีดตัวขึ้น ในระดับราคาที่เป็นจุดต่ำสุดเดิม(ซื้อที่แนวรับ) ผลก็คือราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ได้อีก ขาดทุนเพิ่มไปซะเฉยๆ
.
สรุปคือ แกทำเงินไม่ได้ถึง 6 ปีติดต่อกัน กลายเป็นช่วงที่ลองผิดลองถูกติดต่อกันไปมากกว่าทศวรรษ
.
.
๔) พบจุดเปลี่ยน
เมื่อขาดทุนหนักจนทนไม่ไหว คิดได้ ละเลิกอัตตานั้น จึงตั้งมานะไว้ว่าต้องรีบตัดขาดทุนให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
.
เปลี่ยนจากการยึดอัตตา(คืออายคนที่ขาดทุน) เป็นรีบขายตัดขาดทุนเพื่อรักษาเงินส่วนใหญ่ที่หามาได้อย่างยากลำบากไว้ให้เหลือมากที่สุด
.
ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นหุ้นที่ทำจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ยังสามารถทำจุดสูงใหม่ได้เรื่อยๆ เลยเกิดความสังสัย และค้นคว้าต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้
.
แล้วแกก็พบว่าการลงมือเรียนรู้ค้นคว้าด้วยตัวเอง คิดถึงแต่ตัวเอง นั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะไม่มีใครสนใจเงินและอนาคตของคุณมากเท่าตัวคุณเอง ทำเอง พลาดเอง และความสำเร็จก็เป็นของคุณเอง ไม่มีใครทำให้คุณรวยนอกจากตัวคุณเอง
.
สรุป จุดเปลี่ยนที่แกพบคือ
๑) รู้จักตัดขาดทุนให้เร็วที่สุด
๒) พึ่งพาความสามารถของตัวเอง รับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ได้
๓) มุ่งมั่นที่จะเป็นคนรวย ไม่ใช่คนที่ถูกต้องตลอดเวลา
๔) จริงจังกับการตรวจสอบความผิดพลาดของตัวเอง
๕) สังเกตเห็นพลังของหุ้น 52 week high
.
.
จบภาคมนุษย์ครับ
ตอนนนี้เรารู้แล้วว่าพี่มาร์ค ก็เคยเป็นเหมือนเรา เคยขาดทุนหนักมาก่อน
แถมยังมีพื้นฐานชีวิตด้อยกว่าพวกท่านส่วนใหญ่ด้วย เพราะเรียนน้อย แถมไม่ได้ร่ำรวยอะไร เรียกว่าเริ่มต้นจากศูนย์ก็ไม่ผิดนัก
.
แต่ด้วยจุดดีของแกคือมีความฝัน และชอบอ่านหนังสือ จึงทำให้แกมีต้นทุนที่เทียบเท่ากับคนเรียนสูงและพ่อแม่รวย
.
และสิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นแต้มต่อให้กับทุกคน เมื่อย่างเข้ามาสู่ตลาดหุ้น ทุกคนต้องโดนรับน้อง คือต้องเผชิญกับการขาดทุน ซึ่งมันกลายเป็นแนวต้านของการเป็นเทรดเดอร์ที่ส่วนใหญ่ก้าวผ่านไม่ได้เสียที
.
พวกเขาไม่มีแนวทางของตัวเอง หาสูตรใหม่มาลอง มาเปลี่ยนแนวทางไปเรื่อย ผลก็คือไม่สำเร็จอะไรสักอย่าง กลายเป็นไม้หลักปักขี้เลน
.
ซ้ำร้าย คือพวกเขาไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นต้นตอของความผิดพลาดทั้งหลายนั้น ไม่เคยคิดตรวจสอบตัวเองว่าล้มเหลวตรงไหนบ้าง
.
พี่มาร์คเลยบอกว่า "สาเหตุที่คนส่วนใหญ่มีผลประกอบการในระดับธรรมดา ปานกลาง ไม่สม่ำเสมอ เพราะพวกเขาไม่ยอมศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้ว่าอะไรใช้ได้ผลในตลาดหุ้นจริงๆ ส่วนมากลงทุนด้วยความเข้าใจผิดๆจากความเห็นหรือทฤษฎีส่วนตัว รวมถึงการไม่สามารถพัฒนาวินัยทางอารมณ์ที่จะนำไปใช้ในแผนการลงทุนสู่ชัยชนะ"
.
เดี๋ยวตอนต่อไป ผมจะพาท่านเรียนรู้ว่า เมื่อพบจุดเปลี่ยนแล้ว ต่อไปพี่มาร์คทำอะไรต่อ เพื่อเปลี่ยนตัวเองจากเม่าที่เป็นหนึ่งใน 90% ไปเป็น market wizard หรือเทพ ที่มีแค่ 10% ของตลาด


(แนะนำเพิ่มเติม ของฟรี)
หากต้องการศึกษาวิธีเล่นหุ้น แนะนำให้ไปอ่านบทความฟรี คลิปฟรีที่นี่ก่อนก็ได้
เรียนเล่นหุ้น เรียนเทรด forex จิตวิทยาการเทรด มือใหม่เล่นหุ้น
คลิกลิ้งนี้ครับ https://www.zyo71.com/p/index.html เป็นสารบัญเว็บนี้ครับ







และ eBook มีขายที่เว็บ https://www.mebmarket.com/index.php?action=search_book&type=author_name&search=เซียว%20จับอิดนึ้ง&exact_keyword=1&page_no=1
แยกส่วนกันนะครับ ขายคนละเจ้า
ebook หนังสือสอนเล่นหุ้น

7 บทความยอดนิยมในรอบ 30 วันที่ผ่านมา

รวมแนวทางการนับคลื่นจากเซียน Elliott Wave

คำคมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจากหนังเรื่อง กังฟูแพนด้า

ชมฟรี! คอร์สหุ้น ออนไลน์ 170 คลิป จัดเต็ม ไม่มีกั๊ก Free Full Trading Course by Zyo

ดูยังไงว่าเป็น Cup with Handle pattern?

วิธีการอ่านสัญญาณแท่งเทียน (Candlesticks Reading) สำหรับมือใหม่

อธิบาย Wyckoff Accumulation Phase แบบละเอียดยิบ

(มือใหม่เล่นหุ้น) Wyckoff Logic ของดีที่เม่ามือใหม่เอาไปใช้ได้ง่ายๆ